
ผีเสื้อชมพู กล้วยไม้ในกระถางรูปร่างคล้ายผีเสื้อตัวน้อยค่อย ๆ กางปีกบิน
ผีเสื้อชมพู กล้วยไม้ในกระถางรูปร่างคล้ายผีเสื้อตัวน้อยค่อย ๆ กางปีกบิน
ผีเสื้อชมพู หรือ เอื้องจะงอยปากนก(Beak Orchid/Low’s Phalaenopsis) กล้วยไม้หน้าตาหวานฉ่ำที่ทำให้พวกเราชาวสายเขียวอยากจับจองเป็นเจ้าของเมื่อได้พบเห็น ไม้เอื้องชนิดนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phalaenopsis lowii Rchb.f. จัดอยู่ในวงศ์กล้วยไม้ (ORCHIDACEAE)
ความนิยมพันธุ์กล้วยไม้ในประเทศไทยจัดว่าเป็นความนิยมที่มีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ในสมัยโบราณนานมาแล้วก็พบว่าคนไทยนิยมนำเอาดอกกล้วยมาปลูกประดับตามบ้านและสวน เพื่อความสวยงาม-ร่มรื่น นอกจากนี้ก็ยังตัดดอกนำมาปักแจกัน นำมาร้อยพวงมาลัย จัดดอกไม้สำหรับถวายพระ ใช้ดอกกล้วยไม้ประดับตกแต่งสำรับอาหารเพื่อให้สวยงามน่าทาน ฯลฯ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกล้วยไม้ผีเสื้อชมพู
ดอกผีเสื้อชมพู เป็นพันธุ์กล้วยไม้ที่มีสีสันสวยงามและมีลักษณะอ่อนช้อย จัดอยู่ในกลุ่มไม้อิงอาศัยที่พบได้ตามป่าทั่วไป เป็นไม้ที่มีการเจริญเติบโตทางยอดและเลื้อยรัดพันเกี่ยวไปตามต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียง
ลำต้นผีเสื้อชมพู มีลักษณะลำต้นที่ค่อนข้างสั้นและมีขนาดเล็ก มีใบขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับลำต้นและดอก ใบมีสีเขียวเข้ม รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบมน แผ่นใบอวบน้ำ ผิวใบเรียบ-เกลี้ยง ขอบใบเรียบ มองเห็นเส้นกลางใบชัดเจน
ดอกผีเสื้อชมพู มักจะออกดอกเป็นช่อขนาดเล็กอยู่ตามซอกใบ ช่อดอกมีลักษณะห้อยตัวลู่ลงด้านล่าง โดยในแต่ละช่อจะประกอบด้วยดอกย่อยประมาณ 2 – 3 ดอก กลีบเลี้ยงสีขาวอมชมพู จำนวน 5 กลีบ และมีกลีบปากสีชมพูหรือม่วง จำนวน 1 กลีบ มักจะออกดอกโชว์ความสวยให้ได้ชมกันในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน ของทุกปีค่ะ
การเลี้ยงและดูแลกล้วยไม้ผีเสื้อชมพูให้ออกดอกสวยงาม
ผีเสื้อชมพูเป็นไม้ประดับที่มีความโดดเด่นสะดุดตา เมื่อนำไปปลูกประดับในมุมต่าง ๆ ก็จะทำให้บริเวณรอบ ๆ ดูสดชื่น สดใน และร่มรื่นมากขึ้น ซึ่งในการนำไปปลูกควรให้ปลูกโดยการใช้วัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติสามารถเก็บความชื้นได้ดีและโปร่ง สามารถระบายน้ำและอากาศได้ดี เช่น ถ่านทุบ อิฐมอญทุบ กาบมะพร้าว รากเฟินชายผ้าสีดา เศษกระถางแตก หินภูเขาไฟ ฯลฯ
ไม้เอื้องชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้โดยวิธีการแยกกอ ปักชำ หรือเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นไม้ที่ชอบความชุ่มชื้นในระดับปานกลาง ไม่ควรรดน้ำมากหรือน้อยจนเกินไปเพราะหากรดน้ำมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการรากเน่าและต้นเน่าได้ง่าย รวมถึงอาจมีเชื้อรามาก่อกวนได้ง่าย แต่หากรดน้ำน้อยเกิดไปก็จะทำให้เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่และอาจมีภาวะต้นเฉาและแห้งตายได้ค่ะ
ซึ่งภาวะต้นแห้งตายนี้ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่เรานำไปปลูกเลี้ยงในบริเวณที่มีสงแดดจัดมากเกินไป หรือการที่เราปล่อยให้ต้นไม้โดดแดดจัดโดยตรงเป็นเวลานานนั่นเองค่ะ ดังนั้นจึงควรเลือกปลูกหรือจัดวางกระถางในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงรำไรหรือมีแสงแดดส่องถึงได้เพียงในช่วงครึ่งวันเช้าเท่านั้นค่ะ เพียงการดูแลเล็ก ๆ น้อย ๆ และเหมาะสม ก็จะทำให้เรามีกล้วยไม้สวย ๆ เอาไว้ประดับมุมโปรดในบ้านได้ไม่ยาก และไม่แน่ว่าอาจจะสามารถต่อยอดไปถึงขั้นทำเป็นอาชีพหลักเลยก็ได้ค่ะ
ที่มา medthai