
กระแจะ (ทานาคา)
กระแจะ พืชสมุนไพรไทยที่นิยมนำมาใช้ประทินผิวและบำรุงร่างกาย
กระแจะ (ทานาคา) วันนี้ขอชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่มีความน่าสนใจมาก ๆ เป็นพืชสมุนไพรที่ใคร ๆ ก็บอกว่าดี แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่อาจจะยังไม่รู้ความเป็นมาของพืชชนิดนี้กันสักเท่าไหร่นัก และพืชสมุนไพรที่เราจะนำมากล่าวถึงในวันนี้ก็คือ
กระแจะ หรือทานาคา , พญายา มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hesperethusa crenulate (Roxb.) Roem. เป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์ส้ม (RUTACEAE) สามารถพบได้ตามป่าทั่วไป เช่น ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง หรือป่าดิบแล้งที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-400 เมตร และพบว่ามีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ในแถบประเทศพม่า อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ฯลฯ ในส่วนของประเทศไทยสามารถพบได้ในทางภาคตะวันตกฉียงใต้และภาคเหนือ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ กระแจะ (ทานาคา) พันธุ์ไม้ขนาดเล็กไม่ผลัดใบที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
กระแจะหรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ทานาคา เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบที่มีลักษณะเป็นไม้ทรงพุ่มขนาดเล็ก โดยจะมีความสูงเฉลี่ยที่ประมาณ 8-15 เมตร
ลักษณะของ กระแจะ คือ ลำต้นมีลักษณะตั้งตรงแตกกิ่งในองศาที่ตั้งฉากกับลำต้น มีหนามอยู่ตามกิ่งและลำต้น เปลือกนอกมีสีน้ำตาล-ขรุขระ เนื้อไม้ด้านในมีสีขาว และจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล-เหลือง เมื่อตัดไม้แล้วนำออกมาวางไว้ระยะหนึ่ง ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนก โดยจะประกอบด้วย ใบย่อยจำนวน 4-13 ใบ ใบประกอบมีสีเขียว รูปทรงเรียวรี ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ผิวใบเกลี้ยง
มักจะออกดอกเป็นช่อลักษณะแบบกระจุกรวมกันอยู่ตามซอกใบ มีขนอ่อนนุ่มสีขาวขึ้นปกคลุมและมีต่อมน้ำมัน กลีบดอกมีสีขาว รูปทรงไข่ จำนวน 4 กลีบ เมื่อบานเต็มที่กลีบดอกจะโค้งงอกลับไปหาส่วนก้านดอก มักจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมของทุกปี ส่วนผลจะเป็นผลสดรูปทรงกลม-สีเขียว และจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเมื่อผลแก่ มีเมล็ดสีน้ำตาลอมส้มอยู่ด้านในของผล โดยผลจะเริ่มแก่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ของทุกปี
ประโยชน์และสรรพคุณของ กระแจะ สิ่งดี ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
กระแจะ เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย โดยมักจะมีการนำเอาส่วนแก่น กระแจะ และส่วนอื่น ๆ มาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค ซึ่งสรรพคุณของ กระแจะ อาทิเช่น ใช้ทำเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเลือด รักษาโรคโลหิตจาง ช่วยให้เจริญอาหาร ใช้ดับพิษร้อนถอนพิษไข้ แก้อาการร้อนใน ขับเหงื่อ เป็นยาระบายอ่อน ๆ แก้อาการท้องอืด แก้อาการปวดเมื่อยในร่างกาย ฯลฯ
นอกจากนี้ยังสามารถนำไม้มาใช้ในงานแกะสลัก ทำตู้ใส่ของ อีกทั้งในประเทศพม่ายังนิยมนำเอาเนื้อไม้มาบดให้ละเอียดจนมีลักษณะเป็นผง แล้วนำมาทำเป็นเครื่องบำรุงผิว ตามที่เรามักจะเรียกกันว่า “ ผงทานาคา ” โดยจะมีสรรพคุณช่วยให้ผิวเนียนสวย แก้สิว แก้ฝ้า
เนื่องจากมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ด้วยจึงมีการนำไปผสมกับน้ำ ทำเป็นเครื่องหอมทาให้มีกลิ่นหอมได้ด้วย อีกทั้งยังมีงานวิจัยพบว่ามีสารที่ชื่อว่า Marmesin ด้วย ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติสามารถกรองแสงอัลตราไวโอเลตอันเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ด้วย ฯลฯ ประโยชน์เยอะขนาดนี้สงสัยว่าคงจะต้องรีบไปหามาใช้กันบ้างแล้วว่ามั้ยคะ?
แหล่งข้อมูลจาก medthai